วันที่ 28 มีนาคม 2566 จากกรณีที่พักสงฆ์บุกรุกที่โบราณสถาน “ประสาทพันปี” ที่วัดโคกปราสาท ตำบลหลุ่งตะเคียน อำเภอห้วยแถลง จ.นครราชสีมา ที่เคยเป็นข่าวที่ผ่านมา ที่มีชาวบ้านในพื้นที่ ตำบลหลุ่งตะเคียน ร้องเรียนที่พักสงฆ์บุกรุกที่โบราณสถานประสาทบ้านหลุ่งตะเคียน พบสิ่งปลูกสร้าง 107 จุด และที่ผ่านมาสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา มีคำสั่งให้รื้อถอนหรือย้ายสิ่งปลูกสร้างออกไปแล้วนั้น แต่ปัจจุบันยังไม่การดำเนินการแก้ไขแต่อย่างใด
ซึ่งสำนักสงฆ์ดังกล่าวไม่มีการขึ้นทะเบียนกับสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติด้วย และขณะนี้องค์การสืบสวนการทุจริต (FIO) โดยนายนสิน โรจนวัทธิกร รองประธาน FIO ภาค 3 เป็นตัวแทนชาวบ้านยื่นฟ้องศาลปกครอง กรณีที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาจักราช ออกมาทำการรังวัดออกโฉนตที่ดิน โดยผู้ยื่นขออ้างสิทธิครอบครอง ส ค 1 เนื่องจากสำนักงานที่ดินฯ ไม่ดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน(ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2553 มาตรา 8 แต่อ้างว่าดำเนินการตามหนังสือของอธิบดีกรมที่ดิน ด่วนที่สุด ที มท 0516.2 (1)/ว14789 ลงวันที่ 10 พฤษภาคม ซึ่งเชื่อว่ามิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากคำสั่งของอธิบดีมีลำดับศักดิ์ของกฎหมายที่ต่ำกว่าพระราชบัญญัติ ดังนั้นคำสั่งที่ขัดกับพระราชบัญญัติจึงเป็นคำสังที่มิชอบตัวกฎหมาย อีกทั้งแบบแจ้งการครอบครอง ( สค1.)มิใช่เอกสารราชการตามที่ข้าราชการและนักการเมืองจำนวนมากเข้าใจผิด โดยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 799/890/2509 วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัตฐานว่า หนังสือแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส ค 1) จึงไม่ใช่เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ”
ล่าสุดอธิบดีกรมศิลปากรออกคำสั่งรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้างในบริเวณโบราณสถานปราสาทบ้านหลุ่งตะเคียนเพิ่ม 28 จุด รวมเจดีย์พุทธนิมิต สีทอง ซึ่งได้มีการขอบริจาคเงินจากประชาชนก่อสร้างรวมกว่า 6 ล้านบาท อ้างสร้างเพื่อบรรจุอัฐิแม่ชีผู้ล่วงลับซึ่งเป็นอรหันต์ และกระดูกกลายเป็นอัฐิธาตุ ตามที่กรมศิลปากรได้มีหนังสือที่ วธ 0420/3780 ลงวันที่ 29 กันยายน 2565 นมัสการพระฉลวยขอให้รื้ออาคารหรือส่วนต่างๆของอาคารศาลาการเปรียญ หมายเลข 44 ที่ปลูกสร้างทับปราสาทอายุพันปีโดยไม่ได้รับอนุญาตออกจากเขตโบราณสถานปราสาทบ้านหลุ่งตะเคียน อำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมศิลปากร
ด้านพระฉลวย อาภาธโร ได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 อธิบดีกรมศิลปากรพิจารณาแล้วไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ทั้งหมดของพระฉลวย อีกทั้งปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้พิจารณาอุทธรณ์แล้วเห็นควรให้ยกอุทธรณ์ของพระฉลวย อาภาธโร ผู้ดูแลที่พักสงฆ์ในวันที่ 20 มกราคม 2566 ซึ่งในขณะนี้วัดโคกปราสาทได้ร้องขอคุ้มครองชั่วคราวที่ศาลปกครองสูงสุด โดยเรื่องกำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาดำเนินการ
ซึ่งกรณีบุกรุกโบราณสถานปราสาทบ้านหลุ่งตะเคียน ได้มีการแจ้งเรื่องร้องเรียนหลายครั้ง ที่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรคือในปี 2560 กรมศิลปากรได้มีคำสั่งการปกครองถึงวัดโคกปราสาท ซึ่งได้ปลูกสร้างอาคารในขณะนั้น 44 จุด โดยไม่ขออนุญาต ว่าให้ระงับการก่อสร้าง แต่ผู้ดูแลฯ กลับเพิกเฉย จนมีการร้องเรียนเพิ่มในปี 2563,2564 และ 2565 หน่วยการสำรวจล่าสุดพบว่ามีการสร้างสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นเป็น 107 จุด ลากไฟฟ้าข้ามจากอำเภอพิมายมาใช้ในเขตโบราณสถาน โดยกรมศิลปากรได้แจ้งความไปเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2565 ตามมาตรา 7 ทวิในพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ ว่า ห้ามมิให้ผู้ใดปลูกสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการก่อสร้างอาคารภายในเขตของโบราณสถานซึ่งอธิบดีได้ประกาศขึ้นทะเบียน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี และมาตรา 10 บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใด ซ่อมแซมแก้ไข เปลี่ยนแปลง รื้อถอน ต่อเติมทำลาย เคลื่อนย้ายโบราณสถาน หรือส่วนต่างๆของโบราณสถาน หรือขุดค้นสิ่งใดๆ หรือปลูกสร้างอาคารภายในบริเวณโบราณสถาน เว้นแต่จะกระทำตามคำสั่งของอธิบดี หรือได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี
ภาพ/ข่าว อภิรักษ์ ศรีอัศวิน ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำ จ.นครราชสีมา